วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2553

การเขียนเรียงความ



1. ความหมายของเรียงความ

เรียงความคือ การนำเอาคำมาประกอบแต่งเป็นเรื่องราวอาจใช้วิธีการเขียนหรือการพูด ก็ได้ การเขียน จดหมาย รายงาน ตอบคำถาม ข่าว บทความ ฯลฯ อาศัยเรียงความเป็นพื้นฐาน ทั้งนั้น ดังนั้น การเขียนเรียงความจึงมีความสำคัญ ช่วยให้พูดหรือเขียนในรูปแบบต่าง ๆ ได้ดี นอกจากนี้ก่อนเรียงเขียนความเราต้องค้นคว้า รวบรวมความรู้ ความคิด และนำมาจัดเป็นระเบียบ จึงเท่ากับเป็นการฝึกสิ่งเหล่านี้ให้กับตนเองได้อย่างดีอีกด้วย

2. องค์ประกอบของเรียงความ

เรียงความเรื่องหนึ่งประกอบด้วยส่วนสำคัญ ๓ ส่วน คือ ส่วนนำ ส่วนเนื้อเรื่องและส่วนท้ายหรือสรุป ส่วนนำเรื่องจะเป็นส่วนที่แสดงประเด็นหลักหรือจุดประสงค์ของเรื่อง ส่วนเนื้อเรื่อง เป็นส่วนขยายโครงเรื่องที่วางเอาไว้ส่วนนี้จะประกอบด้วยย่อหน้าหลายย่อหน้า ส่วนท้ายของเรื่องจะเป็นการเน้นย้ำประเด็นหลักหรือจุดประสงค์

๑. การเขียนส่วนนำ ดังได้กล่าวแล้วว่าส่วนนำเป็นส่วนที่แสดงประเด็นหลักหรือจุดประสงค์ของเรื่อง ดังนั้น ส่วนนำจึงเป็นการบอกผู้อ่านถึงเนื้อหาที่นำเสนอและยังเป็นการเร้าความสนใจให้อยากอ่าน เรื่องจนจบ การเขียนส่วนนำเพื่อเร้าความสนใจนั้นมีหลายวิธี แล้วแต่ผู้เขียนจะเลือกตามความเหมาะสม อาจนำด้วยปัญหาเร่งด่วน หรือหัวข้อที่กำลังเป็นเรื่องที่น่าสนใจ คำถาม การเล่าเรื่องที่จะเขียน การยกคำพูด ข้อความ หรือสุภาษิตที่น่าสนใจ บทร้อยกรอง การอธิบายความเป็นมาของเรื่อง การบอกจุดประสงค์ของการเขียน การให้คำจำกัดความ ของคำสำคัญของเรื่องที่จะเขียน แรงบันดาลใจ ฯลฯ ดังตัวอย่าง เช่น

๑.๑ นำด้วยปัญหาเร่งด่วน หรือหัวข้อที่กำลังเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เช่น เดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน จะพบกลุ่มสนทนากลุ่มย่อย ๆ วิสัชนากันด้วยเรื่อง วิสามัญฆาตกรรมในคดียาเสพติด บ้างก็ว่าเป็นความชอบธรรม บ้างก็ว่ารุนแรงเกินเหตุ หลายคนจึงตั้งคำถามว่า ถ้าไม่ทำวิสามัญฆาตกรรมกรณียาเสพติด แล้วจะใช้วิธีการชอบธรรมอันใด ที่จะล้างบางผู้ค้าหรือผู้บ่อนทำลายเหล่านี้ลงได้ในเวลาอันรวดเร็ว

๑.๒ นำด้วยคำถาม เช่น ถ้าถามหนุ่มสาวทั้งหลายว่า อยากสวย” “อยากหล่อหรือไงคำตอบที่ได้คงจะเป็น
คำตอบเดียวกันว่า อยากจากนั้นก็คงมีคำถามต่อไปว่าแล้วทำอย่างไรจึงจะสวยจะหล่อ ได้สมใจในเมื่อธรรมชาติของหลาย ๆ คนก็มิได้สวยได้หล่อมาแต่ดั้งเดิม จะต้องพึ่งพา เครื่องสำอาง หรือการศัลยกรรมหรือไร แล้วจะสวยหล่อแบบธรรมชาติได้หรือไม่ ถ้าได้ จะทำอย่างไร

๑.๓ นำด้วยการเล่าเรื่องที่จะเขียน เช่น งานมหกรรมหนังสือนานาชาติจัดขึ้นเป็นประจำในวันพุธแรกของเดือนตุลาคมของทุกปีที่เมืองแฟรงเฟิร์ต ประเทศเยอรมนี สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๔๕ นี้ นับเป็นครั้งที่ ๕๓

๑.๔ นำด้วยการยกคำพูด ข้อความ สุภาษิตที่น่าสนใจ เช่น ในอดีตเมื่อกล่าวถึงครู หรือค้นหาคุณค่าของครู หลายคนคงนึกถึงความเปรียบทั้งหลายที่มักได้ยินจนชินหู ไม่ว่าจะเป็นความเปรียบที่ว่าครูคือเรือจ้าง” “ครูคือปูชนียบุคคลหรือครูคือผู้ให้แสงสว่างทางปัญญาฯลฯ ความเปรียบเหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นถึงคุณค่า ความเสียสละ และการเป็นนักพัฒนาของครู ในขณะที่ปัจจุบันทัศนคติในการมองครูเปลี่ยนไป หลายคนมองว่าครูเป็นแค่ผู้ที่มีอาชีพรับจ้างสอนหนังสือเท่านั้น เพราะครูสมัยนี้ไม่ได้อบรม ความประพฤติให้แก่ผู้เรียนควบคู่ไปกับการให้ความรู้ ไม่ได้เป็นตัวอย่างที่ดีที่จะเรียกว่า แม่พิมพ์ของชาติอาชีพครูเป็นอาชีพที่ตกต่ำและดูต้อยต่ำในสายตาของคนทั่วไป ทั้ง ๆ ที่อาชีพนี้เป็นอาชีพที่ต้องทำหน้าที่ในการพัฒนาคนที่จะไปเป็นกำลังสำคัญของการพัฒนาประเทศชาติต่อไป จึงถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการทบทวนบทบาทหน้าที่คุณธรรมและอุดมการณ์ของความเป็นครูกันเสียที

๑.๕ นำด้วยบทร้อยกรอง เช่น

ความรักเหมือนโรคา
บันดาลตาให้มืดมน
ไม่ยินและไม่ยล
อุปสรรคคะใดใด
ความรักเหมือนโคถึก
กำลังคึกผิขังไว้
ก็จะโลดจากคอกไป
บ่ยอมอยู่ ณ ที่ขัง

ถ้าหากปล่อยไว้
ก็ดึงไปด้วยกำลัง
ยิ่งห้ามก็ยิ่งคลั่ง
บ่หวนคิดถึงเจ็บกาย

๑.๖ นำด้วยการอธิบายความเป็นมาของเรื่อง เช่น เมื่อสัปดาห์ที่แล้วข้าพเจ้าได้ไปร่วมงานพระราชทานเพลิงศพของผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ท่านเป็นอดีตรองผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ ศพของท่านได้รับการบรรจุไว้ในโกศศพพระราชทาน เห็นดังนั้นแล้วทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าจำได้ว่าตอนข้าพเจ้าไปเผาศพคุณตา คุณยายที่บ้านสวน จังหวัดสมุทรสงคราม ศพของท่านทั้งสองก็ได้รับการบรรจุไว้ในโกศเช่นกัน ซึ่งท่านทั้งสองก็เป็นพลเรือนธรรมดา ๆ ไม่ได้เป็นข้าราชการผู้ใหญ่ เรื่องนี้คงมีหลายคนสงสัยว่าทำไมพลเรือนธรรมดา ๆ ถึงมีโกศใส่ศพกับเขาด้วย ดังนั้นเพื่อทำความกระจ่างแก่เยาวชนและผู้สนใจ ในปัจจุบันนี้อาจจะไม่เคยเห็นศพชาวบ้านที่บรรจุในโกศ ข้าพเจ้าจึงได้ค้นคว้าเรื่องนี้มาเพื่อเป็นความรู้แก่ผู้สนใจทั่วไป

๑.๗ นำด้วยการบอกจุดประสงค์ของการเขียน เช่น สามก๊ก ที่ผู้อ่านทั้งในประเทศจีนและในประเทศไทยรู้จักกันดีนั้นเป็นนวนิยาย ส่วนสามก๊กที่เป็นประวัติศาสตร์ มีคนรู้น้อยมาก แม้คนจีนแผ่นดินใหญ่ที่ได้เรียนจบ ขั้นอุดมศึกษามาแล้ว ก็มีน้อยคน (น้อยมาก) ที่รู้พอสมควร บทความเรื่องนี้จึงขอเริ่มต้นจาก สามก๊ก ที่เป็นประวัติศาสตร์

๒. การเขียนส่วนเนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องเป็นส่วนสำคัญที่สุดของเรียงความ เพราะเป็นส่วนที่ต้องแสดงความรู้ ความคิดเห็น ให้ผู้อ่านทราบตามโครงเรื่องที่วางไว้ เนื้อเรื่องที่ต้องแสดงออกถึงความรู้ ความคิดเห็นอย่างชัดแจ้ง มีรายละเอียดที่เป็นข้อเท็จจริงและมีการอธิบายอย่างเป็นลำดับขั้น มีการหยิบยกอุทาหรณ์ ตัวอย่าง ทฤษฎี สถิติ คำกล่าว หลักปรัชญา หรือสุภาษิต คำพังเพย ฯลฯ สนับสนุนความรู้ความคิดเห็นนั้น เนื้อเรื่องประกอบด้วยย่อหน้าต่าง ๆ หลายย่อหน้าตาม สาระสำคัญที่ต้องการกล่าวถึงเปรียบกันว่า เนื้อเรื่องเหมือนส่วนลำตัวของคนที่ประกอบด้วย อวัยวะต่าง ๆ แต่รวมกันแล้วเป็นตัวบุคคล ดังนั้นการเขียนเนื้อเรื่องถึงจะแตกแยกย่อย ออกไปอย่างไร จะต้องรักษาสาระสำคัญใหญ่ของเรื่องไว้ การแตกแยกย่อยเป็นไปเพื่อประกอบให้สาระสำคัญใหญ่ของเรื่องซึ่งเปรียบเหมือนตัวคน สมบูรณ์ในแต่ละย่อหน้า ประกอบด้วยส่วนที่เป็นเนื้อหา คือ ความรู้หรือความคิดเห็นที่ต้องการแสดงออก การอธิบาย และอุทาหรณ์คือ การอ้างอิง ตัวอย่าง ฯลฯ ที่สนับสนุนให้เห็นจริงเห็นจัง ส่วนสำนวนโวหาร จะใช้แบบใดบ้าง โปรดศึกษาเรื่องสำนวนโวหารในหัวข้อต่อไป

๓. การเขียนส่วนท้ายหรือส่วนสรุป ส่วนท้ายหรือส่วนสรุป ส่วนปิดเรื่องเป็นส่วนที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับเนื้อหาส่วนอื่น ๆ โดยตลอด และเป็นส่วนที่บอกผู้อ่านว่าเรื่องราวที่เสนอมานั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว วิธีการเขียนส่วนท้ายมีด้วยกันหลายวิธี เช่น เน้นย้ำประเด็นหลัก เสนอคำถามหรือข้อคิด สรุปเรื่อง เสนอความคิดของผู้เขียน ขยายจุดประสงค์ของผู้เขียน หรือสรุปด้วยสุภาษิต คำคม สำนวนโวหาร คำพังเพยอ้างคำพูดของบุคคล อ้างทฤษฎี หลักศาสนา หรือคำสอนและ บทร้อยกรอง ฯลฯ

๓.๑ เน้นย้ำประเด็นหลัก เช่น หน่วยงานของเราจะทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการที่รวดเร็ว ที่ซื่อตรง โปร่งใส ตรวจสอบได้ เช่นนี้ต่อไป แม้การปฏิรูประบบราชการจะส่งผลให้หน่วยงานของเรา ต้องเปลี่ยนสังกัดไปอย่างไรก็ตาม นั่นเพราะเราตระหนักในบทบาทของเราในฐานะข้าราชการแม้ว่าปัจจุบันเราจะถูกเรียกว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐก็ตาม

๓.๒ เสนอคำถามหรือข้อคิดให้ผู้อ่านใช้วิจารณญาณ เช่น เคราะห์กรรมทั้งหลายอันเกิดกับญาติพี่น้องและลูกหลานของผู้คนในบ้านเมืองของเรา อันเกิดจากความอำมหิตมักได้ของผู้ผลิตและผู้ค้ายาเสพติดเหล่านี้ เป็นสิ่งสมควรหรือไม่ กับคำว่า วิสามัญฆาตกรรมท่านที่อ่านบทความนี้จบลง คงมีคำตอบให้กับตัวเองแล้ว

๓.๓ สรุปเรื่อง เช่น การกินอาหารจืด ร่างกายได้รับเกลือเล็กน้อย จะทำให้ชีวิตจิตใจร่าเริงแจ่มใส น้ำหนักตัวมาก ๆ จะลดลง หัวใจไม่ต้องทำหน้าที่หนัก ไตทำหน้าที่ได้ดี ไม่มีบวมตามอวัยวะต่าง ๆ และเป็นการป้องกันโรคหัวใจ โรคไต หลอดเลือดแข็ง ความดันโลหิตสูง ข้ออักเสบ แผลกระเพาะอาหารและจะมีอายุยืนด้วย

๓.๔ เสนอความคิดเห็นของผู้เรียน เช่น การปฏิรูปกระบวนการเรียนการสอนจะประสบผลสำเร็จหรือไม่ คงมิใช่แค่การเข้ารับการอบรมเทคนิค วิธีการสอนเพียงอย่างเดียว ยังขึ้นอยู่กับองค์ประกอบอันสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดคือ ตัวผู้สอน ถ้าผู้สอนมีใจและพร้อมจะรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับความ กระตือรือร้น ที่จะพัฒนาตนเองเพื่อกลุ่มเป้าหมายคือผู้เรียน การปฏิรูปกระบวนการเรียน การสอนก็จะประสบความสำเร็จได้

๓.๕ ขยายจุดประสงค์ของผู้เขียน ควบคู่กับบทร้อยกรอง เช่น แม้อาหารการกินและการออกกำลังกายจะทำให้คนเราสวยงามตามธรรมชาติอยู่ได้นาน แต่วันหนึ่งเราก็คงหนีไม่พ้นวัฏจักรของธรรมชาติ คือ การเกิด แก่ เจ็บและตาย ร่างกายและความงามก็คงต้องเสื่อมสิ้นไปตามกาลเวลา ฉะนั้นก็อย่าไปยึดติดกับความสวยงามมากนักแต่ควรยึดถือความงามของจิตใจเป็นเรื่องสำคัญ เพราะสิ่งที่จะเหลืออยู่ในโลกนี้เมื่อความตายมาถึงคือ ความดี ความชั่วของเราเท่านั้น ดังพระราชนิพนธ์ของพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส ในเรื่องกฤษณาสอนน้องคำฉันท์ว่า

พฤษภกาสร
อีกกุญชรอันปลดปลง
โททนต์เสน่งคง
สำคัญหมายในกายมี
นรชาติวางวาย
มลายสิ้นทั้งอินทรีย์
สถิตย์ทั่วแต่ชั่วดี
ประดับไว้ในโลกา

แนวทางการเขียนเรียงความ

เมื่อได้ศึกษาองค์ประกอบอันจะนำไปใช้ในการเขียนเรียงความแล้ว ก่อนที่จะลงมือเขียนเรียงความ ผู้เขียนต้องเลือกเรื่องและประเภทของเรื่องที่จะเขียน หลังจากนั้นจึงวางโครงเรื่องให้ชัดเจนเพื่อเรียบเรียงเนื้อหา ซึ่งการเรียบเรียงเนื้อหานี้ต้องอาศัยความสามารถในการเขียนย่อหน้า และการเชื่อมโยงย่อหน้าให้เป็นเนื้อหาเดียวกัน

๑. การเลือกเรื่อง ปัญหาสำคัญประการหนึ่งของผู้เขียนที่ไม่สามารถเริ่มต้นเขียนได้ คือ ไม่ทราบจะเขียนเรื่องอะไร วิธีการแก้ปัญหาดังกล่าวคือ หัดเขียนเรื่องใกล้ตัวของผู้เขียน หรือเรื่องที่ผู้เขียนมีประสบการณ์ดี รวมทั้งเรื่องที่ผู้เขียนมีความรู้เป็นอย่างดี หรือเขียนเรื่องที่สนใจ เป็นเรื่องราว หรือเหตุการณ์ที่กำลังอยู่ในความสนใจของบุคคลทั่วไป นอกจากนี้ผู้เขียนอาจพิจารณาองค์ประกอบ ๔ ประการ เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจเลือกเรื่องที่จะเขียน ดังต่อไปนี้ก็ได้
๑.๑ กลุ่มผู้อ่าน ผู้เขียนควรเลือกเขียนเรื่องสำหรับกลุ่มผู้อ่านเฉพาะและควรเป็นกลุ่มผู้อ่านที่ผู้เขียนรู้จักดีทั้งในด้านการศึกษา ประสบการณ์ วัย ฐานะ ความสนใจและความเชื่อ
๑.๒ ลักษณะเฉพาะของเรื่อง เรื่องที่มีลักษณะพิเศษจะดึงดูดใจให้ผู้อ่านสนใจ ลักษณะพิเศษดังกล่าว ได้แก่ ความแปลกใหม่ ความถูกต้องแม่นยำ แสดงความมีรสชาติ
๑.๓ เวลา เรื่องที่จะเขียนหากเป็นเรื่องที่อยู่ในกาลสมัยหรือเป็นปัจจุบัน จะมีผู้สนใจอ่านมาก ส่วนเรื่องที่พ้นสมัยจะมีผู้อ่านน้อย นอกจากนี้การให้เวลาในการเขียนของผู้เขียนก็เป็นสิ่งสำคัญ ถ้าผู้เขียนมีเวลามาก ก็จะมีเวลาค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อการเขียนและการอ้างอิงได้มาก ถ้าผู้เขียนมีเวลาน้อย การเขียนด้วยเวลาเร่งรัด ก็อาจทำให้เนื้อหาขาดความสมบูรณ์ ด้านการอ้างอิง
๑.๔ โอกาส การเขียนเรื่องประเภทใดขึ้นอยู่กับโอกาสด้วย เช่น ในโอกาสเทศกาลและวันสำคัญของทางราชการและทางศาสนา ก็เลือกเขียนเรื่องที่เกี่ยวกับโอกาสหรือเทศกาลนั้น ๆ เป็นต้น

๒. ประเภทของเรื่องที่จะเขียน การแบ่งประเภทของเรื่องที่จะเขียนนั้นพิจารณาจากจุดมุ่งหมายในการเขียนซึ่งแบ่งได้เป็น๓ประเภทคือ
๒.๑ เรื่องที่เขียนเพื่อความรู้ เป็นการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์รวมทั้งหลักการตลอดจนข้อเท็จจริงต่างๆใช้วิธีเขียนบอกเล่าหรือบรรยายรายละเอียด
๒.๒ เรื่องที่เขียนเพื่อความเข้าใจ เป็นการอธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจความรู้ หลักการ หรือประสบการณ์ต่างๆการเขียนเพื่อความเข้าใจมักควบคู่ไปกับการเขียนเพื่อให้เกิดความรู้
๒.๓ การเขียนเพื่อโน้มน้าวใจ เป็นการเขียนเพื่อให้ผู้อ่านเชื่อถือและยอมรับ เพื่อให้ผู้อ่านได้รับอรรถรสทางใจให้สนุกสนาน เพลิดเพลินไปกับข้อเขียนนั้น ๆ

๓. การวางโครงเรื่องก่อนเขียน การเขียนเรียงความเป็นการเสนอความคิดต่อผู้อ่าน ผู้เขียนจึงต้องรวบรวมเลือกสรรและจัดระเบียบความคิด แล้วนำมาเรียบเรียงเป็นโครงเรื่อง การรวบรวมความคิด อาจจะรวบรวม ข้อมูลจากประสบการณ์ของผู้เขียนเอง นำส่วนที่เป็นประสบการณ์ตรงและประสบการณ์ทางอ้อม ซึ่งเกิดจากการฟัง การอ่าน การพูดคุย ซักถาม เป็นต้น เมื่อได้ข้อมูลแล้วก็นำข้อมูล มาจัดระเบียบความคิด โดยจัดเรียงลำดับตามเวลา เหตุการณ์ ความสำคัญและเหตุผล แล้วจึงเขียนเป็นโครงเรื่อง เพื่อเป็นแนวทางให้งานเขียนอยู่ในกรอบ ไม่ออกนอกเรื่อง และสามารถนำมาเขียนขยายความเป็นเนื้อเรื่องที่สมบูรณ์ เขียนชื่อเรื่องไว้กลางหน้ากระดาษ เลือกหัวข้อที่น่าสนใจที่สุดเป็นคำนำ และเลือกหัวข้อที่น่าประทับใจที่สุดเป็นสรุป นอกนั้น เป็นเนื้อเรื่อง
๓.๑ ชนิดของโครงเรื่อง การเขียนโครงเรื่องนิยมเขียน ๒ แบบ คือ โครงเรื่องแบบหัวข้อและโครงเรื่องแบบประโยค
๓.๑.๑ โครงเรื่องแบบหัวข้อ เขียนโดยใช้คำหรือวลีสั้น ๆ เพื่อเสนอประเด็นความคิด
๓.๑.๒ โครงเรื่องแบบประโยค เขียนเป็นประโยคที่สมบูรณ์ โครงเรื่องแบบนี้มีรายละเอียดที่ชัดเจนกว่าโครงเรื่องแบบหัวข้อ
๓.๒ ระบบในการเขียนโครงเรื่อง การแบ่งหัวข้อในการวางโครงเรื่องอาจแบ่งเป็น ๒ ระบบ คือ
๓.๒.๑ ระบบตัวเลขและตัวอักษร เป็นระบบที่นิยมใช้กันทั่วไป โดยกำหนดตัวเลขหรือประเด็นหลัก และตัวอักษรสำหรับประเด็นรอง ดังนี้
๑) ................................................................................................
ก. ........................................................................................
ข. .........................................................................................
๒)
ก. ........................................................................................
ข. .........................................................................................
๓.๒.๒ ระบบตัวเลข เป็นการกำหนดตัวเลขหลักเดียวให้กับประเด็นหลักและตัวเลขสองหลัก และสามหลัก ให้กับประเด็นรอง ๆ ลงไป ดังนี้
๑) .................................................................................................
๑.๑ ......................................................................................
๑.๒ .....................................................................................
๒) .................................................................................................
๒.๑ .....................................................................................
๒.๒ ....................................................................................
๓.๓ หลักในการวางโครงเรื่อง หลักในการวางโครงเรื่องนั้นควรแยกประเด็นหลักและประเด็นย่อยจากกันให้ชัดเจน โดยประเด็นหลักทุกข้อควรมีความสำคัญเท่ากัน ส่วนประเด็นย่อยจะเป็นหัวข้อที่สนับสนุน ประเด็นหลัก ทั้งนี้ทุกประเด็นต้องต่อเนื่องและสอดคล้องกัน จึงจะเป็นโครงเรื่องที่ดี

๔. การเขียนย่อหน้า การย่อหน้าเป็นสิ่งจำเป็นอีกอย่างหนึ่ง เพราะจะช่วยให้ผู้อ่าน อ่านเข้าใจง่ายและอ่านได้เร็ว มีช่องว่างให้ได้พักสายตา ผู้เขียนเรียงความได้ดีต้องรู้หลักในการเขียนย่อหน้า และนำย่อหน้า แต่ละย่อหน้ามาเชื่อมโยงให้สัมพันธ์กัน ในย่อหน้าหนึ่ง ๆ ต้องมีสาระเพียง ประการเดียว ถ้าจะขึ้นสาระสำคัญใหม่ต้องขึ้นย่อหน้าใหม่ ดังนั้น การย่อหน้าจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับสาระสำคัญที่ต้องการเขียนถึงในเนื้อเรื่อง แต่อย่างน้อยเรียงความต้องมี ๓ ย่อหน้า คือ ย่อหน้าที่เป็นคำนำเนื้อเรื่องและสรุป
๔.๑ ส่วนประกอบย่อหน้า ย่อหน้า ๑ ย่อหน้าประกอบด้วย ประโยคใจความสำคัญและประโยคขยายใจความสำคัญหลายๆประโยคมาเรียบเรียงต่อเนื่องกัน
๔.๒ ลักษณะของย่อหน้าที่ดี ย่อหน้าที่ดีควรมีลักษณะ ๓ ประการ คือ เอกภาพ สัมพันธภาพและสารัตถภาพ
๑) เอกภาพ คือ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีประโยคใจความสำคัญ ในย่อหน้าเพียงหนึ่งส่วนขยายหรือสนับสนุนต้องกล่าวถึงใจความสำคัญนั้นไม่กล่าวนอกเรื่อง
๒) สัมพันธภาพ คือ การเรียบเรียงข้อความในย่อหน้าให้เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน มีการลำดับความอย่างมีระเบียบ นอกจากนี้ยังควรมีความสัมพันธ์กับย่อหน้าที่มีมาก่อน หรือย่อหน้าที่ตามมาด้วย
๓) สารัตภาพ คือ การเน้นความสำคัญของย่อหน้าแต่ละย่อหน้าและของเรื่องทั้งหมด โดยใช้ประโยคสั้น ๆ สรุปกินความทั้งหมด อาจทำได้โดยการนำประโยคใจความสำคัญมาไว้ตอนต้น หรือตอนท้ายย่อหน้า หรือใช้สรุปประโยคหรือวลีที่มีลักษณะซ้ำ ๆ กัน

๕. การเชื่อมโยงย่อหน้า การเชื่อมโยงย่อหน้าทำให้เกิดสัมพันธภาพระหว่างย่อหน้า เรียงความเรื่องหนึ่งย่อมประกอบด้วยย่อหน้าหลายย่อหน้าการเรียงลำดับย่อหน้าตามความเหมาะสมจะทำให้ข้อความ เกี่ยวเนื่องเป็นเรื่องเดียวกัน วิธีการเชื่อมโยงย่อหน้าแต่ละย่อหน้าก็เช่นเดียวกับการจัดระเบียบความคิดในการวางโครงเรื่อง ซึ่งมีด้วยกัน ๔ วิธี คือ
๕.๑ การลำดับย่อหน้าตามเวลา อาจลำดับตามเวลาในปฏิทินหรือตามเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นก่อนไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลัง
๕.๒ การลำดับย่อหน้าตามสถานที่ เรียงลำดับข้อมูลตามสถานที่หรือตามความ เป็นจริงที่เกิดขึ้น
๕.๓ การลำดับย่อหน้าตามความสำคัญ เรียงลำดับตามความสำคัญมากที่สุด สำคัญรองลงมาไปถึงสำคัญน้อยที่สุด
๕.๔ การลำดับย่อหน้าตามเหตุผล อาจเรียงลำดับจากเหตุไปหาผล หรือผลไปเหตุ

๖.สำนวนภาษา ยึดหลักการใช้ภาษาดังนี้
๖.๑ ใช้ภาษาให้ถูกหลักภาษา เช่น การใช้ลักษณะนาม ปากกาใช้ว่า ด้ามรถใช้ว่า คันพระภิกษุใช้ว่า รูปเป็นต้น นอกจากนี้ไม่ควรใช้สำนวนภาษาต่างประเทศ เช่น ขณะที่ข้าพเจ้าจับรถไฟไปเชียงใหม่ ควรใช้ว่า ขณะที่ข้าพเจ้าโดยสารรถไฟไปเชียงใหม่ บิดาของข้าพเจ้าถูกเชิญไปเป็นวิทยากรควรใช้บิดาของข้าพเจ้าได้รับเชิญไปเป็นวิทยากร
๖.๒ ไม่ควรใช้ภาษาพูด เช่น ดีจัง เมื่อไหร่ ทาน ฯลฯ ควรใช้ภาษาเขียน ได้แก่ ดีมาก เมื่อไร รับประทาน
๖.๓ ไม่ควรใช้ภาษาแสลง เช่น พ่น ฝอย แจวอ้าว สุดเหวี่ยง ฯลฯ
๖.๔ ควรหลีกเลี่ยงการใช้คำศัพท์ยากที่ไม่จำเป็น เช่น ปริเวทนาการ ฯลฯ ซึ่งมีคำที่ง่ายกว่าที่ควรใช้คือคำว่า วิตก หรือใช้คำที่ตนเองไม่ทราบความหมายที่แท้จริง เช่น บางคนใช้คำว่าใหญ่โตรโหฐาน คำว่า รโหฐานแปลว่า ที่ลับ ที่ถูกต้องใช้ ใหญ่โตมโหฬาร เป็นต้น
๖.๕ ใช้คำให้ถูกต้องตามกาลเทศะและบุคคล เช่น คำสุภาพ คำราชาศัพท์ เป็นต้น
๖.๖ ผูกประโยคให้กระชับ ถ้าเจ้าดินช้าเช่นนี้เมื่อไรจะไปถึงที่หมายสักทีหรือประโยคว่า อันธรรมดาคนเราเกิดมาในโลกนี้ บ้างก็เป็นคนดี บ้างก็เป็นคนชั่วควรใช้ว่า คนเราย่อมมีทั้งดีและชั่วเป็นต้น

๗. การใช้หมายเลขกำกับ หัวข้อในเรียงความจะไม่ใช้หมายเลขกำกับ ถ้าจะกล่าวแยกเป็นข้อ ๆ จะใช้ว่า ประการที่ ๑ ......ประการที่ ๒ ...... หรือประเภทที่ ๑ ..... ประเภทที่ ๒ .....แต่จะไม่ใช้เป็น ๑ ..... ๒ ..... เรียงลำดับแบบการเขียนทั่วไป

๘. การแบ่งวรรคตอนและเครื่องหมายวรรคตอน เครื่องหมายวรรคตอน เช่น มหัพภาค (.) อัฒภาค (;) จุลภาค (,) นั้น ไทยเลียนแบบฝรั่งมาจะใช้หรือไม่ใช้ก็ได้ ถ้าใช้ต้องใช้ให้ถูกต้อง ถ้าไม่ใช้ก็ใช้แบบไทยเดิม คือการเว้นวรรคตอน โดยเว้นเป็นวรรคใหญ่ วรรคน้อย ตามลักษณะประโยคที่ใช้

๙. สำนวนโวหาร สำนวนกับโวหารเป็นคำที่มีความหมายอย่างเดียวกันนำมาซ้อนกัน หมายถึง ชั้นเชิงในการเรียบเรียงถ้อยคำ ในการเขียนเรียงความสำนวนโวหารที่ใช้มี ๕ แบบ คือ
๙.๑ แบบบรรยาย หรือที่เรียกกันว่า บรรยายโวหารเป็นโวหารเชิงอธิบาย หรือเล่าเรื่องอย่างถี่ถ้วน โวหารแบบนี้เหมาะสำหรับเขียนเรื่องประเภทให้ความรู้ เช่น ประวัติ ตำนานบันทึกเหตุการณ์ ฯลฯ ตัวอย่างบรรยายโวหาร

ตัวอย่างการเขียนเรียงความเรื่องการท่องเที่ยว

เมื่อช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปเที่ยวที่บางแสน จังหวัดชลบุรี และในครั้งนี้เอง ดิฉันได้มีโอกาสก่อนกลับบ้านที่จังหวัดกรุงเทพมหานคร ดิฉันได้เดินทางไปที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งดิฉันได้ไปที่ สวนเสือศรีราชา

วันที่ดิฉันไปนั้นเป็นวันธรรมดาซึ่งมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศประเทศต่างๆ เช่น ประเทศจีน ประเทศเกาหลี ประเทศรัสเซีย ประเทศอังกฤษ ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นต้น ซึ่งมีผู้คนมาเที่ยวไม่มากแต่ก็ไม่ได้น้อยจนเกินไป เมื่อดิฉันไปถึงดิฉันได้ไปดูโชว์ตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น โชว์เสือ โชว์จระเข้ โชว์ช้าง และโชว์วิ่งแข่งหมู ซึ่งโชว์ต่าง ๆ นี้ทางสวนเสือศรีราชาจะเปิดให้ผู้ที่มาเข้าชมเข้าชมฟรี โดยจัดเป็นรอบ ๆ รอบละประมาณ 20 นาที โดยจัดทุก ๆ 1 ชั่วโมง หรือครึ่งชั่วโมงแล้วแต่สถานที่ ดังนั้นเมื่อดิฉันดูจุดหนึ่งเสร็จดิฉันสามารถที่จะเดินไปดูจุดอื่น ๆ ที่กำหนดไว้ได้อย่างทันทีเนื่องจากสถานที่ที่จัดแสดงโชว์นั้นอยู่ใกล้ๆ กัน และนอกจากนั้นยังมีโชว์ต่าง ๆ ที่จัดแสดงบริเวณสวนเสือศรีราชาอีกด้วย เช่น ครอบครัวหมา เสือ หมู ที่สามารถอยู่ร่วมกันได้ ลูกจระเข้อันแสนจะน่ารักที่กำลังเล่นน้ำบ้างและนอนหลับบ้าง การให้อาหารจระเข้ที่ใช้ไม้ที่มีเหยื่ออยู่นั้นหย่อนเหยื่อลงไป ซึ่งราคาค่าเหยื่อนั้นอยู่ที่ 50 บาทต่อ 1 เหยื่อ การถ่ายรูปกับจระเข้ราคา 100บาทต่อภาพ การถ่ายภาพกับช้างในราคา 50 บาทต่อภาพ อีกทั้งยังมีการให้นมลูกหมูน่ารัก และนอกจากนั้นยังมีสัตว์ที่ฉันไม่คิดว่าจะได้เห็นที่นี่อีกด้วย เช่น อูฐ เป็นต้น สำหรับอาหารและของที่ระลึกที่นี่ก็ราคาไม่แพงจนเกินไป มีทั้งหมวกรูปสัตว์ เขี้ยวจระเข้ ตุ๊กตาสัตว์ต่าง ๆ เช่น ช้าง จระเข้ เสือ พวงกุญแจ ส่วนอาหารมีอาหารแปลกๆ ที่ดิฉันไม่กล้าลองชิมด้วย นั่นก็คือ สเต็กจระเข้ ซึ่งได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติ ขายในราคา 5 ไม้ 100บาท ซึ่งการมาเที่ยวในครั้งนี้ทำให้ดิฉันติดใจและอยากที่จะกลับไปชมอีกอย่างแน่นอน

การมาเที่ยวที่สวยเสือศรีราชาในครั้งนี้ทำให้ดิฉันได้ความรู้มากมาย อีกทั้งยังเปลี่ยนความคิดของดิฉันอีกว่า สัตว์บางอย่างนั้นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ดิฉันคิดไว้ เนื่องจากมีการฝึกฝนให้อยู่ร่วมกับคนด้วย บวกกับความน่ารักที่มีอยู่ในตัวของสัตว์ประเภทต่าง ๆ ทำให้ดิฉันอยากกลับมาที่นี่อีก และยังทำให้ดิฉันคิดว่าการเสียค่าเข้า 120 บาทของดิฉันไม่แพงเลยถ้าเทียบกับโชว์ต่าง ๆ ที่พวกพี่ ๆ ได้เสี่ยงชีวิตเข้าไปอยู่ร่วมกับสัตว์ที่มีสันชาติญาณดุร้ายอย่างเสือ และค่าเข้าเหล่านั้นก็เป็นค่าอาหารของสัตว์ทั้งหมดที่อยู่ในสวนเสือศรีราชาอีกด้วย



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น